วันพฤหัสบดีที่ 5 กันยายน พ.ศ. 2556

โรงเรียนวัดราชโอรส



โรงเรียนวัดราชโอรส

  

   ตราสัญลักษณ์ประจำโรงเรียน เลข ๓ เหนืออักษร ร.อ. ภายใต้พระมหาพิชัยมงกุฏ

คติพจน์อตตนา โจทยตตนํ แปลว่า จงเตือนตนด้วยตนเอง
คำขวัญ ทำตัวน่ารัก ใจภักดิ์โรงเรียน หมั่นเพียรศึกษา ใฝ่หาความรู้ อยู่ด้วยวินัย
สีประจำโรงเรียน ฟ้า - เหลือง โดยทั้งสองสีหมายถึงผู้มีคุณธรรมอันสูงส่ง
องค์อุปการะ พระธรรมกิตติวงศ์ เจ้าอาวาสวัดราชโอรส
ดอกไม้ประจำโรงเรียน ดอกพิกุล ซึ่งเป็นที่มาของคำเรียกขานนักเรียนว่า "สุภาพบุรุษลูกราชา และ กุลสตรีศรีพิกุล






                  เดิมเป็นโรงเรียนประชาบาล ตั้งอยู่ในเขตวัดราชโอรสาราม ด้านหน้าติดกับคลองสนามชัย หรือ คลองด่าน เดิมชื่อโรงเรียนประสิทธิ์วิทยาคม ต่อมาได้โอนเป็นโรงเรียนรัฐบาลขึ้นกับกระทรวงธรรมการ โดยรองอำมาตย์เอกหลวงพิรุณพิทยาพรรณเจ้าหน้าที่กระทรวงธรรมการกับพระธรรมุเทศาจารย์ เจ้าอาวาส ได้พิจารณาร่วมกันว่ายังไม่มีโรงเรียนมัธยมในละแวกนี้จึงเสนอให้โอนโรงเรียนประสิทธิ์วิทยาคมไปขึ้นกับกระทรวงธรรมการ มีชื่อว่า โรงเรียนวัดราชโอรส ในวันที่ 19 มีนาคม พ.ศ. 2458 เปิดสอนครั้งแรกเมื่อวันที่ 17 พฤษภาคม พ.ศ. 2458 แต่ปัจจุบันมีชั้นเรียนตั้งแต่ ชั้นมัธยมศึกษาปีที่1-6 โดยมีเนื้อที่ทั้งสิ้น 21 ไร่ 262 ตารางวา


ประวัติโรงเรียน
โรงเรียนวัดราชโอรส เดิมเป็นโรงเรียนประชาบาล ตั้งอยู่ในเขตวัดราชโอรสาราม ด้านหน้าติดกับคลองสนามไชย ชื่อโรงเรียนประสิทธิ์วิทยาคม ต่อมาได้โอนเป็นโรงเรียนรัฐบาลขึ้นกับกระทรวงธรรมการ โดยรองอำมาตย์เอกหลวงพิรุณพิทยาพรรณ เจ้าหน้าที่กระทรวงธรรมการกับพระธรรมุเทศาจารย์ เจ้าอาวาส ได้พิจารณาร่วมกันว่ายังไม่มีโรงเรียนมัธยมในละแวกนี้ จึงเสนอให้โอนโรงเรียนประสิทธิ์วิทยาคมไปขึ้นกับกระทรวงธรรมการ มีชื่อว่า โรงเรียนวัดราชโอรส ในวันที่ 19 มีนาคม 2458 เปิดสอนในวันที่ 17 พฤษภาคม 2458 โดยมี ขุนจงจิตต์ฝึก (ราชบุรุษโชติ ไวยกฎ) ดำรงตำแหน่งครูใหญ่และคนแรก ระยะแรกโรงเรียนนี้เป็นโรงเรียนสหศึกษา เปิดสอนเพียง 2 ชั้น คือ ประถมปีที่ 1 และประถมปีที่ 2 ในช่วงเวลา 13 ปี ที่ขุนจงจิตต์ฝึกเป็นครูใหญ่ ได้ขยายการศึกษาอย่างเต็มที่ คือมีชั้นเรียนตั้งแต่ประถมศึกษาปีที่ 1, 2 และ 3 ถึงมัธยมศึกษาปีที่ 6


พ.ศ. 2474 ได้ยุบเลิกชั้นเรียนประถมเหลือแต่มัธยมศึกษาและได้ย้ายนักเรียนหญิงชั้นมัธยมศึกษาตอนต้นไปอยู่ โรงเรียนสตรีวัดอัปสรสวรรค์ซึ่งตั้งขึ้นใหม่ปี 2485 จึงไม่มีนักเรียนหญิงที่โรงเรียนวัดราชโอรสอีกเลย
พ.ศ. 2527 ทางโรงเรียนเปิดรับนักเรียนหญิงในระดับ ม.ปลาย อีกครั้งหนึ่งหลังจากที่ได้เป็นโรงเรียนชายล้วนมาถึง 42 ปี
พ.ศ. 2532 โรงเรียนได้เปิดสอนแบบสหศึกษา โดยเริ่มรับในระดับชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 1
พ.ศ. 2548 โรงเรียนได้เปิดสอนการเรียนการสอนส่งเสริมความเป็นเลิศด้านภาษา Mini English Program (EIC)
พ.ศ. 2553 โรงเรียนได้เปิดสอนการเรียนการสอนส่งเสริมความเป็นเลิศด้านคณิตศาสตร์-วิทยาศาสตร์ (Gifted)[1]



ประวัติสิ่งปลูกสร้างต่างๆ ในโรงเรียนวัดราชโอรส

พ.ศ. 2472 กระทรวงศึกษาธิการได้อนุมัติเงินงบประมาณให้สร้างอาคารเรียนเรือนไม้ 2 ชั้นซึ่งเป็นบริเวณ อาคารธรรมุเทศาจารย์ ในปัจจุบัน
พ.ศ. 2508 ได้สร้างอาคารตึก 4 ชั้น ชื่อว่าอาคารหลังนี้ว่าอาคาร เทพญาณมุนีซึ่งขณะนั้นผู้อุปการะโรงเรียน ตั้งตามชื่อ ท่านเจ้าคุณพระเทพญาณมุนี
พ.ศ. 2519 ต่อมาเจ้าคุณพระเทพญาณมุนี ได้พัฒนาบำรุงวัด บำรุงโรงเรียนไปพร้อมกัน ได้ช่วยเหลือโรงเรียนทำให้ได้งบประมาณสร้างอาคารเรียนใหม่เป็นอาคารตึก 5 ชั้น ทางโรงเรียนจึงตั้งชื่ออาคารหลังนี้ว่าอาคาร ราชโมลีซึ่งเป็นชื่อของเจ้าอาวาสท่านได้ทำนุบำรุงโรงเรียนและวัด
พ.ศ. 2526 ทางโรงเรียนได้รับงบประมาณจากกรมสามัญศึกษาให้สร้างอาคารเรียน 4 ชั้น 30 ห้องเรียน จึงก่อสร้างอาคารหลังนี้ในปีที่ดินแปลงใหม่ แล้วเสร็จ ในเดือนพฤศจิกายน พ.ศ. 2527 และใช่ชื่อว่า อาคาร ปัทมานุชตามนามสกุลผู้ขายและบริจาคที่ดิน และได้ทำพิธีเปิดอาคารหลังใหม่ในงานฉลองครบรอบ 70 ปี เมื่อวันที่ 7 กุมภาพันธ์ 2528 โดย ฯพณฯ ปลัดกระทรวงศึกษาธิการ นายสมาน แสงมะลิ เป็นประธานพิธี
พ.ศ. 2533 โรงเรียนได้รับอนุมัติให้ก่อสร้างอาคารหอประชุมธรรมกิตติวงศ์ และเสร็จในปีการศึกษา 2534
พ.ศ. 2536 - พ.ศ. 2539 โรงเรียนวัดราชโอรสขยายพื้นที่เดิม 21 ไร่เศษ มีพื้นที่เป็น 2 บริเวณ เชื่อมต่อกันด้วยสะพานลอย โดยความอนุเคราะห์ของสมาคมศิษย์เก่าโรงเรียนวัดราชโอรส
บริเวณที่ 1 เนื้อที่ 13 ไร่ ประกอบด้วยอาคารเรียนถาวร 4 หลัง อาคารโรงฝึกงาน อาคารหอประชุมและโรงอาหารซึ่งอยู่ใต้อาคารปัทมานุช สนามหญ้า สระน้ำ พระพุทธรูปในปราสาทกลางน้ำ สนามวอลเล่ย์ สนามบาสเกตบอล ที่นั่งพักผ่อนหย่อนใจ
บริเวณที่ 2 เนื้อที่ 9 ไร่เศษ ประกอบด้วย สระน้ำ และอาคารประกอบ โดยศิษย์เก่ารุ่น 12 โดยการนำของนายวิวัฒน์ ฑีฆะคีรีกุล ร่วมกันสร้าง นอกจากนั้นยังมีสนามฟุตบอล สนามบาสเกตบอล สนามวอลเล่ย์บอล สนามเทนนิส บ้านพักภารโรง
พ.ศ. 2542 โรงเรียนได้รับงบประมาณก่อสร้างอาคารเรียนถาวร 4 ชั้น 16 ห้องเรียน ทดแทนอาคารไม้ที่ชำรุดทรุดโทรม ได้ชื่อว่า อาคารธรรมุเทศาจารย์
พ.ศ. 2549 มีการปรับปรุงหอประชุมโรงเรียนวัดราชโอรส (หอประชุมธรรมกิตติวงศ์ ) ปรับปรุงโรงอาหารชั้น 1 อาคารปัทมานุช ตลอดจนห้องกิจกรรมพัฒนาผู้เรียน
พ.ศ. 2552 จัดสร้างอาคารกระจ่างศิลป์
พ.ศ. 2554 สร้างหลังคากันแดด หรือ โดมหลังคาเขียว
พ.ศ. 2556 ปรับปรุงห้องน้ำใต้ตึกเทพญาณมุนี ยกพื้นถนนใหม่ และจัด สร้าง อาคารเฉลิมพระเกียรติพระบาทสมเด็จพระนั่งเกล้าเจ้าอยู่หัว (มหาเจษฎาบดินทร์ราชเจ้า) ฉลองครบรอบ ๑๐๐ ปี ในปลายปีนี้


เกียรติประวัติของโรงเรียนวัดราชโอรส

ปี 2536 ได้รับรางวัลโรงเรียนดีเด่น กรมสามัญศึกษา
ปี 2536-2540 เป็นโรงเรียนพี่เลี้ยงโรงเรียนวังไกลกังวลในพระบรมราชูปถัมภ์ด้านงานแนะแนว
ปี 2536-2541 ได้รับคัดเลือกให้เป็นศูนย์จัดกิจกรรมวิทยาศาสตร์ของสถาบันส่งเสริมการสอน วิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี
ปี 2527-2537 ได้รับถ้วยรางวัลการแข่งขันยูโดชนะเลิศติดต่อกัน 11 ปี
ปี 2538 ได้รับรางวัลโรงเรียนสิ่งแวดล้อมดีเด่น เขตการศึกษาส่วนกลาง
ปี 2538 ได้รับรางวัลห้องสมุดดีเด่นกรมสามัญศึกษา
ปี 2540 ได้รับโล่รางวัล โรงเรียนที่มีนักเรียนประพฤติดี มีคุณธรรม บำเพ็ญประโยชน์มากที่สุด จากกระทรวงศึกษาธิการ
ปี 2542 ได้รับเกียรติบัตร โรงเรียนที่จัดกิจกรรมที่ส่งเสริมคุณธรรม จริยธรรม และ สนับสนุนงานสารวัตรนักเรียน จากกรมพลศึกษา
ปี 2543- 2547 ได้รับโล่รางวัลธนาคารโรงเรียนดีเด่นและการปฏิบัติงานธนาคาร ดีเยี่ยมระดับประเทศ จากธนาคารออมสินติดต่อกัน 5 ปี
ปี 2544 โล่รางวัลรองชนะเลิศอันดับ 1 การประกวดคำขวัญ เนื่องใน วันต่อต้านยาเสพติด จากสภาสังคมสงเคราะห์แห่งประเทศไทยในพระบรมราชูปถัมภ์
ปี 2544 โล่รางวัลรองชนะเลิศอันดับ 1 การประกวดสื่อต่อต้านยาเสพติด จากสำนักงานคณะกรรมการป้องกันและปราบปรามยาเสพติด
ปี 2544 ได้รับเกียรติบัตรยกย่องต้านส่งเสริมระบอบประชาธิปไตย ในการเลือกตั้งสมาชิก สภาผู้แทนราษฎร จากสำนักงานคณะกรรมการการเลือกตั้ง
ปี 2545 โล่รางวัล เป็นโรงเรียนซึ่งมีนักเรียนจำนวนมาก ได้รับการยกย่องว่าประพฤติดี และ บำเพ็ญประโยชน์ต่อสังคม จากคณะกรรมการจัดงานฉลองวันเด็กแห่งชาติ
ปี 2545 ได้รับการยกย่องเป็น โรงเรียนยอดนิยม กรมสามัญศึกษา กรุงเทพมหานคร
ปี 2545 ได้รับรางวัลเกียรติยศ สถาบันการศึกษาปลอดยาเสพติดดีเด่น ภาครัฐบาลจากพระวรวงศ์เธอ พระองค์เจ้าโสมสวลีพระวรราชาทินัดดามาตุ
ปี 2546 ศูนย์พัฒนาคุณภาพการเรียนการสอนวิชาภาษาญี่ปุ่น กรมสามัญศึกษา
ปี 2547 ศูนย์พัฒนาวิชาการภาษาจีน สำนักงานคณะกรรมการการศึกษาขั้นพื้นฐาน
ปี 2540-2548 ได้รับรางวัลชนะเลิศกีฬาแฮนด์บอล จากการแข่งขันกีฬา นักเรียน
นักศึกษาแห่งประเทศไทย 7 ปีซ้อน - การแข่งขันกีฬาแห่งชาติ 3 สมัยซ้อน
การ แข่งขันกีฬาแฮนด์บอลกรมพลศึกษา 8 ปีซ้อน
ปี 2549 ได้รับพระราชทานรางวัลเกียรติคุณ สัญญา ธรรมศักดิ์ ( ชมเชย) ประจำปีการศึกษา ประจำปีการศึกษา 2548 จากสมเด็จพระเทพรัตนราชสุดาฯ สยามบรมราชกุมารี
ปี 2553 ได้รับรางวัล เป็นสถานศึกษา 3D ของ สพฐ.เขต ๑

ปี 2554 เป็นเจ้าภาพจัดกีฬาแฮนด์บอล สพฐ.เกมส์ ระดับจังหวัด และ ระดับภูมิภาค

วัดราชโอรสารามราชวรวิหาร

Bangkok Wat Ratchaorotsaram 001.JPG


วัดราชโอรสารามราชวรวิหาร


ข้อมูลทั่วไป
ชื่อสามัญ วัดราชโอรสาราม
ที่ตั้ง ถนนเอกชัย แขวงบางค้อ เขตจอมทอง กรุงเทพมหานคร
ประเภท พระอารามหลวงชั้นเอก ชนิดราชวรวิหาร[1]
นิกาย เถรวาท มหานิกาย
ความพิเศษ วัดประจำรัชกาลที่ 3
Dharma Wheel.svg สถานีย่อย:พระพุทธศาสนา

     วัดราชโอรสารามราชวรวิหาร เป็นวัดเก่าแก่เดิมชื่อวัดจอมทอง เป็นวัดที่มีมาก่อนการสร้างกรุงเทพมหานคร พระเจ้าลูกยาเธอ กรมหมื่นเจษฎาบดินทร์ (ต่อมาคือ พระบาทสมเด็จพระนั่งเกล้าเจ้าอยู่หัว) ทรงสถาปนาวัดจอมทองขึ้นใหม่ทั้งพระอาราม เนื่องจากเมื่อครั้งที่ทรงยกทัพไปสกัดทัพพม่าที่ด่านพระเจดีย์สามองค์ กาญจนบุรีใน พ.ศ. 2363 เมื่อกระบวนทัพเรือมาถึงวัดจอมทอง ฝั่งธนบุรีทรงหยุดพักและทำพิธีเบิกโขลนทวารตามตำราพิชัยสงคราม พร้อมทรงอธิษฐานขอให้การไปราชการทัพครั้งนี้ได้ชัยชนะ แต่ปรากฏว่าไม่มีทัพพม่ายกเข้ามา เมื่อยกทัพกลับ พระเจ้าลูกยาเธอ กรมหมื่นเจษฎาบดินทร์ได้ทรงบูรณปฏิสังขรณ์วัดจอมทองใหม่และถวายเป็นพระอารามหลวง ได้รับพระราชทานนามใหม่ว่าวัดราชโอรส ซึ่งหมายถึง พระราชโอรสคือ กรมหมื่นเจษฎาบดินทร์ ในปัจจุบันมี พระธรรมกิตติวงศ์เป็นเจ้าอาวาส
ที่ตั้งวัด
     
    วัดราชโอรสาราม ตั้งอยู่ริมคลองสนามไชยฝั่งตะวันตกและมีคลองบางหว้าสกัดอยู่ด้านเหนือติดเนื้อที่ของ วัด ในท้องที่เขตจอมทอง กรุงเทพมหานคร เลขประจำวัด ๒๕๘ เป็นวัดโบราณ มีมาแต่สมัยกรุงศรีอยุธยา เป็นราชธานี แต่เดิมเป็นวัดเล็ก ๆ ของราษฎร เรียกว่า "วัดจอมทอง" เป็นวัดที่ความสำคัญทางประวัติศาสตร์ โบราณคดี และศิลปกรรม น่าดูน่าชมมาก สมกับมีฐานะเป็นพระอารามหลวงชั้นเอกชนิด "ราชวรวิหาร" และ เป็นวัดประจำรัชกาลที่ ๓ แห่งพระบรมราชจักรีวงศ์ เพราะพระองค์ทรงสถาปนาขึ้นใหม่ทั้งพระอาราม


มูลเหตุที่ทรงสร้างวัดราชโอรสาราม

      เรื่องการสร้างวัดราชโอรสารามนั้น คงจะเนื่องมาจากมูลเหตุเพราะเป็นนิวาสสถานข้างพระญาติฝ่ายพระบรม ราชชนนีของพระบาทสมเด็จพระนั่งเกล้าเจ้าอยู่หัวคือกรมสมเด็จพระศรีสุลาลัย (เจ้าจอมมารดาเรียม) พระบรม ราชชนนีของพระบาทสมเด็จพระนั่งเกล้าเจ้าอยู่หัว เป็นธิดาของพระยานนทบุรี (บุญจัน) และคุณหญิงเพ็ง คุณหญิงเพ็งเป็นธิดาของพระยาราชวังสัน (หวัง) และท่านชู ท่านชูเป็นพระปัยยิกา (ยายทวด) ของพระบาทสมเด็จ พระนั่งเกล้าเจ้าอยู่หัว ท่านผู้นี้กล่าวกันว่าเป็นธิดาของคหบดีชาวสวน มีนิวาสสถานอยู่แถววัดหนัง ริมคลองด่าน ซึ่งบัดนี้กำหนดเป็นแขวงบางค้อ ท้องที่เขตจอมทอง กรุงเทพมหานคร

      ณ บริเวณสองฝากคลองด่านแถววัดหนัง วัดนางนอง และวัดจอมทอง จึงมีพวกชาวสวนผู้เป็นวงศ์ญาติ ของท่านชูอยู่โดยมาก และนับว่ามีพระญาติทางบรรพชนฝ่ายพระบรมราชชนนีของพระบาทสมเด็จพระนั่งเกล้า เจ้าอยู่หัวอยู่แถวนั้น ประกอบกับท่านเจ้าอาวาสวัดจอมทอง ซึ่งต่อมาเมื่อสร้างขึ้นเป็นวัดราชโอรสารามแล้วท่าน มีสมณศักดิ์เป็นพระสุธรรมเทพเถรนั้น       สันนิษฐานตามสมณศักดิ์ของท่านคงจะเป็นผู้ทรงคุณในทางวิปัสสนาธุระ ทั้งมีผู้เล่าว่า ท่านชำนาญในการพยากรณ์ยามสามตาด้วย ท่านเจ้าอาวาสองค์นี้คงจะเป็นที่ทรงรู้จักมักคุ้นกับ พระบาทสมเด็จพระนั่งเกล้าเจ้าอยู่หัวมาตั้งแต่ยังทรงดำรงพระราชอิสริยยศเป็นพระเจ้าลูกยาเธอในรัชกาลที่ ๒ แล้ว ครั้นมาเมื่อเดือน ๑๑ ปีมะโรง พ.ศ. ๒๓๖๓ ในรัชกาลที่ ๒ มีข่าวว่า พม่าตระเตรียมกำลังทัพจะยกเข้าประเทศ สยามอีก แพร่เข้ามาถึงกรุงเทพมหานคร พระบาทสมเด็จพระพุทธเลิศหล้านภาลัย จึงได้โปรดเกล้า ฯ ให้ พระเจ้าลูกยาเธอกรมหมื่นเจษฎาบดินทร์ ทรงเป็นแม่ทัพคุมพลหมื่นหนึ่งเสด็จไปตั้งขัดตาทัพอยู่ ณ ตำบลปากแพรก เมืองกาญจนบุรี พระองค์ได้เสด็จยาตราทัพออกจากกรุงเทพ ฯ ทางเรือเมื่อวันศุกร์ เดือนอ้าย ขึ้น ๑๐ ค่ำ ปีมะโรงนั้นเอง

       เส้นทางยาตราทัพในวันแรกได้ผ่านคลองบางกอกใหญ่เข้าคลองด่าน เมื่อเสด็จถึงวัดจอมทอง ซึ่งเป็นวัดโบราณ ก็เสด็จหยุดประทับแรมที่หน้าวัด และได้ทรงกระทำพิธีเบิกโขลนทวาร ตามลักษณะพิชัยสงคราม ณ ที่วัดนี้ดังมี ความในหนังสือนิราศตามเสด็จทัพลำแม่น้ำน้อยที่พระยาตรัง กวีเอกผู้โดยเสด็จราชการทัพครั้งนี้ บรรยายถึง การกระทำพิธีนี้ไว้ว่า

"อาดาลอาหุดิห้อม โหมสนาน
ถึกพฤฒิพราหมณ์ โสรจเกล้า
ชีพ่อเบิกโขลนทวาร ทวีเทวศ วายแล
ลารูปพระเจ้าปั้น แปดมือ"

       ในพิธีดังกล่าวนี้ได้ทรงอธิษฐานขอให้เสด็จไปราชการทัพคราวนี้ประสบความสำเร็จ และเสด็จกลับมาโดยสวัสดิภาพ และท่านเจ้าอาวาสวัดจอมทองคงจะได้ถวายคำพยากรณ์ไว้อย่างใดอย่างหนึ่ง ซึ่งเป็นเหตุให้พระเจ้าลูกยาเธอทรงเลื่อมใส

       เมื่อได้ยาตราทัพไปตั้งอยู่ ณ เมืองกาญจนบุรีจะย่างเข้าสู่ปีมะเส็งในปี พ.ศ. ๒๓๖๔ แล้ว ก็ยังไม่มีวี่แววว่าพม่าจะยกทัพ มา พระบาทสมเด็จพระพุทธเลิศหล้านภาลัยจึงโปรดเกล้าให้พระเจ้าลูกยาเธอ กรมหมื่นเจษฎาบดินทร์เลิกกองทัพ เสด็จกลับพระนคร เมื่อราวเดือน ๖-๗ ในปีมะเส็งนั้น ครั้นเสด็จกลับถึงพระนครแล้ว ก็ทรงเริ่มปฏิสังขรณ์ วัดจอมทองขึ้นใหม่ทั้งวัดเหมือนสร้างใหม่ ได้เสด็จมาประทับคุมงานและตรวจตราการก่อสร้างด้วยพระองค์องตลอดมา เสร็จแล้วได้ทูลเกล้า ฯ ถวายเป็นพระอารามหลวง พระบาทสมเด็จพระพุทธเลิศหล้านภาลัยได้โปรดเกล้า ฯ พระราชทาน นามใหม่ว่า "วัดราชโอรส" หมายถึงว่าเป็นวัดที่พระราชโอรสทรงสถาปนา


รัชกาลที่ 3


พระบาทสมเด็จพระนั่งเกล้าเจ้าอยู่หัว

พระบาทสมเด็จพระนั่งเกล้าเจ้าอยู่หัว


           พระบาทสมเด็จพระนั่งเกล้าเจ้าอยู่หัวเป็นพระราชโอรสพระองค์ใหญ่ในพระบาทสมเด็จพระพุทธเลิศหล้านภาลัย และพระองค์แรกที่ประสูติแต่เจ้าจอมมารดาเรียม เสด็จพระราชสมภพเมื่อ วันจันทร์ แรม 10 ค่ำ เดือน 4 ปีมะแม เวลาค่ำ 10.30 นาฬิกา (สี่ทุ่มครึ่ง) ตรงกับวันที่ 31 มีนาคม พ.ศ. 2330 ซึ่งภายหลังพระราชชนนีได้รับการสถาปนาเป็นกรมสมเด็จพระศรีสุราลัย พระองค์เสวยราชสมบัติเมื่อวันอาทิตย์ เดือน 9 ขึ้น 7 ค่ำ ปีวอก ซึ่งตรงกับวันที่ 21 กรกฎาคม พ.ศ. 2367 รวมสิริดำรงราชสมบัติได้ 27 ปี

ทรงมีเจ้าจอมมารดา และเจ้าจอม 5 พระองค์ มีพระราชโอรส-ราชธิดา ทั้งสิ้น 51 พระองค์ เสด็จสวรรคต เมื่อวันพุธ เดือน 5 ขึ้น 1 ค่ำ ปีกุน โทศก จุลศักราช 1212 เวลา 7 ทุ่ม 5 บาท ตรงกับวันที่ 2 เมษายน พ.ศ. 2394 รวมพระชนมพรรษา 64 พรรษา



ตราพระราชลัญจกรประจำรัชกาลที่ 3 รูปปราสาท สอดคล้องกับพระนามเดิม "ทับ" ผูกตรานี้ขึ้นในวโรกาสกรุงรัตนโกสินทร์ครบ 100 ปี

พระราชประวัติ
เมื่อครั้งที่ทรงกำกับราชการกรมท่า (ในสมัยรัชกาลที่ 2) ได้ทรงแต่งสำเภาบรรทุกสินค้าออกไปค้าขายในต่างประเทศมีรายได้เพิ่มขึ้นในท้องพระคลังเป็นอันมาก พระราชบิดาทรงเรียกพระองค์ว่า "เจ้าสัว" เมื่อรัชกาลที่ 2 เสด็จสวรรคต มิได้ตรัสมอบราชสมบัติแก่ผู้ใด ขุนนางและพระราชวงศ์ต่างมีความเห็นว่าพระองค์ (ขณะทรงดำรงพระราชอิสริยยศเป็นกรมหมื่นเจษฏาบดินทร์) ขณะนั้นมีพระชนมายุ 37 พรรษา ทรงรอบรู้กิจการบ้านเมืองดี ทรงปราดเปรื่องในทางกฎหมาย การค้าและการปกครอง จึงพร้อมใจกันอัญเชิญครองราชย์เป็นรัชกาลที่ 3

วันระลึกพระบาทสมเด็จพระนั่งเกล้าเจ้าอยู่หัว 
พระมหาเจษฎาราชเจ้าคณะรัฐมนตรีมีมติให้วันที่ 31 มีนาคมของทุกปีเป็น วันระลึกพระบาทสมเด็จพระนั่งเกล้าเจ้าอยู่หัว พระมหาเจษฎาราชเจ้า หรือ วันเจษฎาบดินทร์ เป็นวันสำคัญของชาติ แต่ไม่ถือเป็นวันหยุดราชการ และเห็นชอบให้ให้ถวายพระราชสมัญญาว่า พระมหาเจษฎาราชเจ้า แปลว่า พระเจ้าแผ่นดินผู้เป็นใหญ่ 

 พระราชกรณียกิจ

   พระองค์ทรงปกครองประเทศด้วยพระปรีชาสามารถ ทรงเสริมสร้างกำลังป้องกันราชอาณาจักร โปรดให้สร้างป้อมปราการตามปากแม่น้ำสำคัญ และหัวเมืองชายทะเล

ด้านความมั่นคง

พระองค์ได้ทรงป้องกันราชอาณาจักรด้วยการส่งกองทัพไปสกัดทัพของเจ้าอนุวงศ์แห่งเวียงจันทน์ ไม่ให้ยกทัพเข้ามาถึงชานพระนครและขัดขวางไม่ให้เวียงจันทน์เข้าครอบครองหัวเมืองอีสานของสยาม นอกจากนี้ พระองค์ทรงประสบความสำเร็จในการทำให้สยามกับญวนยุติการสู้รบระหว่างกันเกี่ยวกับเรื่องเขมรโดยที่สยามไม่ได้เสียเปรียบญวนแต่อย่างใด

ด้านการคมนาคม

ในรัชสมัยของพระองค์ใช้ทางน้ำเป็นสำคัญ ทั้งในการสงครามและการค้าขาย คลองจึงมีความสำคัญมากในการย่นระยะทางจากเมืองหนึ่งไปอีกเมืองหนึ่ง จึงโปรดฯให้มีการขุดคลองขึ้น เช่น คลองบางขุนเทียน คลองบางขนาก และ คลองหมาหอน

ด้านการทำนุบำรุงพระพุทธศาสนา

พระองค์ทรงเลื่อมใสในพระพุทธศาสนามาก และได้ทรงสร้างพระพุทธรูปมากมายเช่น พระประธานในอุโบสถวัดสุทัศน์ วัดเฉลิมพระเกียรติ วัดปรินายกและวัดนางนอง ทรงสร้างวัดใหม่ขึ้น 3 วัด คือ วัดบวรนิเวศวิหารวัดเทพธิดารามและวัดราชนัดดาราม ทรงบูรณปฏิสังขรณ์ วัดเก่าอีก 35 วัด เช่น วัดพระศรีรัตนศาสดาราม ซึ่งสร้างมาแต่รัชกาลที่ 1 วัดอรุณราชวราราม วัดราชโอรสาราม เป็นต้น

ด้านการศึกษา

ทรงทำนุบำรุง และ สนับสนุนการศึกษา โปรดเกล้าฯ ให้กรมหลวงวงศาธิราชสนิท แต่งตำราเรียนภาษาไทยขึ้นเล่มหนึ่งคือ หนังสือจินดามณี โปรดเกล้าฯ ให้ผู้รู้นำตำราต่างๆ มาจารึกลงในศิลาตามศาลารอบพุทธาวาสวัดพระเชตุพนวิมลมังคลาราม ปั้นตึ้งไว้ตามเขามอและเขียนไว้ตามฝาผนังต่างๆ มีทั้งอักษรศาสตร์ แพทยศาสตร์ พุทธศาสตร์ โบราณคดี ฯลฯ เพื่อเป็นการเผยแพร่วิชาการสาขาต่างๆ จึงอาจกล่าวได้ว่า วัดพระเชตุพนวิมลมังคลารามเป็นมหาวิทยาลัยแห่งแรกของกรุงสยาม

ด้านความเป็นอยู่

พระองค์ทรงเอาพระทัยใส่ดูแลทุกข์สุขของราษฎร ด้วยมีพระบรมราชวินิจฉัยว่า ไม่ทรงสามารถจะบำบัดทุกข์ให้ราษฎรได้ หากไม่เสด็จออกนอกพระราชวัง เพราะราษฎรจะร้องถวายฏกาได้ต่อเมื่อพระคลังเวลาเสด็จออกนอกพระราชวังเท่านั้น จึงโปรดให้นำกลองวินิจฉัยเภรีออกตั้ง ณ ทิมดาบกรมวัง ในพระบรมมหาราชวัง เพื่อราษฎรผู้มีทุกข์จะได้ตีกลองร้องถวายฎีกาไปทูลเกล้าทูลกระหม่อมถวาย เพื่อให้มีการชำระความกันต่อไป โดยพระองค์จะคอยซักถามอยู่เนื่องๆ ทำให้ตุลาการ ผู้ทำการพิพากษาไม่อาจพลิกแพลงคดีเป็นอื่นได้

ด้านการค้ากับต่างประเทศ

         พระองค์ทรงสนับสนุนส่งเสริมการค้าขายกับต่างประเทศ ทั้งกับชาวเอเชียและชาวยุโรป โดยเฉพาะอย่างยิ่งการค้ากับจีนมาตั้งแต่เมื่อครั้งพระองค์ทรงดำรงพระอิสสริยศเป็นกรมหมื่นเจษฎาบดินทร์ ส่งผลให้พระคลังสินค้ามีรายได้เพิ่มมากขึ้น นอกจากนี้ มีการแต่งสำเภาทั้งของราชการ เจ้านาย ขุนนางชั้นผู้ใหญ่ และพ่อค้าชาวจีนไปค้าขายยังเมืองจีนและประเทศใกล้เคียง รวมถึงการเปิดค้าขายกับมหาอำนาจจะวันตกจนมีการลงนามในสนธิสัญญาระหว่างกันคือ สนธิสัญญาเบอร์นี พ.ศ. 2369 และ 6 ปีต่อมาก็ได้เปิดสัมพันธไมตรีกับสหรัฐอเมริกาและมีการทำสนธิสัญญาต่อกันใน พ.ศ. 2375 นับเป็นสนธิสัญญาฉบับแรกที่สหรัฐอเมริกาทำกับประเทศทางตะวันออก ส่งผลให้ไทยได้ผลประโยชน์ทางเศรษฐกิจอย่างมาก


เหตุการณ์สำคัญ

การค้าขายกับต่างประเทศและการเก็บอากรต่างๆ
เกิดสุริยุปราคาถึง 5 ครั้ง
พ.ศ. 2367 มีเหตุการณ์สำคัญดังนี้
พระบาทสมเด็จพระพุทธเลิศหล้านภาลัย เสด็จสวรรคต ขณะมีพระชนมายุได้ 57 พรรษา ครองราชย์ได้ 15 ปี
พระบาทสมเด็จพระนั่งเกล้าเจ้าอยู่หัวปราบดาภิเษกเป็นพระมหากษัตริย์องค์ที่ 3 แห่งราชวงศ์จักรี
โปรดเกล้าโปรดกระหม่อมจัดพิธีให้อุปราชาภิเษกพระองค์เจ้าอรุโณทัยขึ้นเป็นที่ "กรมพระราชวังบวรสถานมงคล"
โปรดเกล้าฯ ให้ส่งกองทัพไทยไปช่วยอังกฤษรบพม่า
พ.ศ. 2368 เฮนรี เบอร์นี ขอเข้ามาทำสัญญาค้าขาย
พ.ศ. 2369 มีเหตุการณ์สำคัญดังนี้:
ลงนามในสัญญา เบอร์นี
เจ้าอนุวงศ์เป็นกบฏ โปรดเกล้าฯ ให้กรมพระราชวังบวรฯ เป็นแม่ทัพใหญ่ยกไปปราบ กำเนิดวีรกรรมท้าวสุรนารี (คุณหญิงโม) และโปรดเกล้าฯ ให้พระยาราชสุภาวดี (สิงห์ สิงหเสนี) แม่ทัพหน้าเป็นเจ้าพระราชสุภาวดี ว่าที่สมุหนายก
พ.ศ. 2370 เริ่มสร้างพระสมุทรเจดีย์
พ.ศ. 2371 ร้อยเอกเจมส์โลว์ จัดพิมพ์หนังสือภาษาไทยเป็นครั้งแรก มิชชันนารีอเมริกันเดินทางมาเผยแพร่ศาสนาในเมืองไทย
พ.ศ. 2372 เจ้าพระยาราชสุภาวดี (สิงห์ สิงหเสนี) จับเจ้าอนุวงศ์ จัดส่งลงมากรุงเทพฯ ได้โปรดเกล้าฯ ให้สถาปนาเป็น เจ้าพระยาบดินทรเดชา ที่สมุหนายก
กำเนิดสงฆ์ธรรมยุติกนิกาย
โปรดเกล้าให้ทำการสังคายนาเป็นภาษาไทย
ทรงบูรณปฏิสังขรณ์วัดวาอารามหลายแห่ง และสร้างวัดใหม่ คือวัดเทพธิดาราม วัดราชนัดดา วัดเฉลิมพระเกียรติ และวัดพระเชตุพนฯลฯได้ตั้งโรงเรียนหลวง (วัดพระเชตุพน) ขึ้นเป็นครั้งแรก เพื่อสอนหนังสือไทยแก่เด็กในสมัยนี้ และได้ถือกำเนิดนิกายธรรมยุติขึ้น โดยพระวชิรญาณเถระ (เจ้าฟ้ามงกุฏ) ขณะที่ผนวชอยู่ได้ทรงศรัทธาเลื่อมใสในจริยาวัตรของพระมอญ ชื่อ ซาย ฉายา พุทฺธวํโส จึงได้ทรงอุปสมบทใหม่ เมื่อ พ.ศ. 2372 ได้ตั้งคณะธรรมยุติขึ้นในปี พ.ศ. 2376 แล้วเสด็จมาประทับที่วัดบวรนิเวศวิหาร และตั้งเป็นศูนย์กลางของคณะธรรมยุติ
พ.ศ. 2373พระบาทสมเด็จพระนั่งเกล้าเจ้าอยู่หัวทรงตั้งให้เจ้าพระยาพระคลัง (ดิศ บุนนาค) เป็นว่าที่สมุหกลาโหม
พ.ศ. 2374
ทำการบูรณะวัดพระเชตุพนวิมลมังคลาราม ใช้เวลา 16 ปีในการสร้าง
เกิดน้ำท่วมใหญ่ในพระราชอาณาจักร
พ.ศ. 2375 ประธานาธิบดีแจคสัน แห่งสหรัฐอเมริกา ส่งเอ็ดมันต์ โรเบิร์ต เข้ามาขอเจริญพระราชไมตรีทำการค้ากับไทย
พ.ศ. 2376 ญวนเกิดกบฏ โปรดเกล้าฯ ให้เจ้าพระยาบดินทรเดชา (สิงห์ สิงหเสนี) เป็นแม่ทัพใหญ่ผู้สำเร็จราชการไปรบกับญวน
พ.ศ. 2377
ออกหวย ก.ข. เป็นครั้งแรก
ญวนได้ส่งพระอุไทยราชามาปกครองเขมร
พ.ศ. 2378 เกิดภาวะเงินฝืดเคือง
พ.ศ. 2380 หมอบรัดเลย์ คิดตัวพิมพ์อักษรไทยขึ้นใหม่ โปรดเกล้าฯ ให้หมอหลวงไปหัดปลูกฝีกับหมอบรัดเลย์
พ.ศ. 2381 เกิดกบฏหวันหมาดหลี ที่หัวเมืองไทรบุรี
พ.ศ. 2382 ทรงประกาศห้ามสูบฝิ่น เพื่อส่งเสริมศีลธรรมในบ้านเมือง และ มีการเผาฝิ่น และ โรงยา ฝิ่น พร้อม มีการปราบอั้งอั้งยี่ซึ่งค้าฝิ่น เหล่านั้น
พ.ศ. 2385 หมอบรัดเลย์ พิมพ์ปฏิทินภาษาไทยขึ้นเป็นครั้งแรก
พ.ศ. 2386 เกิดสุริยุปราคาเต็มดวงขึ้นในวันที่ 21 ธันวาคม พ.ศ. 2386 แนวคราสมืดพาดผ่านภาคใต้ตอนกลาง กรุงเทพฯเห็นเป็นชนิดบางส่วน 82%
พ.ศ. 2389 ญวนขอหย่าทัพกับเจ้าพระยาบดินทรเดชา (สิงห์ สิงหเสนี) โปรดเกล้าฯ ให้สร้างโลหะปราสาทวัดราชนัดดาราม
พ.ศ. 2390 ทรงอภิเษกให้นักองค์ด้วงเป็นพระบาทสมเด็จพระนโรดม หริรักษ์รามาธิบดีครองกรุงกัมพูชา
พ.ศ. 2391 ญวนขอเจริญพระราชไมตรีดังเดิม กองทัพเจ้าพระยาบดินทรเดชา (สิงห์ สิงหเสนี) กลับกรุงเทพฯ
พ.ศ. 2392 มีเหตุการณ์สำคัญดังนี้
กองทัพเจ้าพระยาบดินทรเดชา (สิงห์ สิงหเสนี) และ เจ้าพระยาพระคลัง(ดิศ บุนนาค) ปราบอั้งยี่ ที่ ฉะเชิงเทรา
เกิดอหิวาตกโรคระบาด มีคนตายมากกว่า 30,000 คน ซึ่งรวมถึง เจ้าพระยาบดินทรเดชา (สิงห์ สิงหเสนี)
พ.ศ. 2393 อังกฤษ และสหรัฐฯ ขอแก้สนธิสัญญา
พ.ศ. 2394 เสด็จสวรรคต เมื่อ 2 เมษายน พ.ศ. 2394รวมพระชนมายุได้ 64 พรรษา ดำรงอยู่ในราชสมบัติ 27 ปี